พูดคุยกับ โฮม ปิยะรัฐชย์ ถอดประเด็น Working Mom จากซีรีส์เกาหลี ที่การเป็นแม่และนักการเมืองสามารถทำไปพร้อมกันได้


ปี 2023 เรียกได้ว่าเป็นปีของ แม่ อย่างแท้จริง ตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงสิ้นปี ซีรีส์และภาพยนตร์เกาหลีโดยส่วนมากเน้นเล่าถึงบทบาทหน้าที่ของแม่ในรูปแบบที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไป หนึ่งในนั้นคือการเน้นเล่าไปถึงบทบาทของ Working Mom ยกตัวอย่างเช่น Crash Course in Romance, Kill Boksoon, Queenmaker และ Cold Blooded Intern โดยในประเด็นต่าง ๆ ที่ปรากฎอยู่ในเรื่องเหล่านั้นทำให้เราฉุกคิดได้ว่า ไม่เพียงแค่อ้างอิงมาจากสังคมของเกาหลีใต้ แต่ยังสอดคล้องมาถึงสังคมไทยอีกด้วย


ผู้เขียนได้มีโอกาสไปพบกับคุณ โฮม-ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สส.เชียงราย เขต 2 จากพรรคเพื่อไทย ที่ได้มาร่วมพูดคุยและแบ่งปันเกี่ยวกับประสบการณ์ในการเป็น Working Mom ในสังคมไทยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจของตนเอง


ประสบการณ์ในการเป็น Working Mom ของตัวเองเป็นอย่างไร

ถ้าถามว่าว่ามันเหนื่อยหรือไม่ เหนื่อย เพราะว่าตอนสมัยแรกเราตั้งท้องลูกคนแรกประมาณ 3 เดือน แล้วได้มาเป็นสส. อีก 2 ปีถัดมาก็มีลูกคนที่ 2 ครั้งที่แล้วเราเป็นสส.บัญชีรายชื่อ ดังนั้นจึงพอจะมีเวลา และมีการวางตารางค่อนข้างชัดเจนว่าช่วงเวลาไหนที่อยู่กับลูกและช่วงเวลาไหนที่เราลงพื้นที่หรือเข้าประชุม จึงไม่ได้มีปัญหากับการจัดการเวลา อีกทั้งเรายังโชคดีมากที่บ้านเราสนับสนุนทุกอย่าง มีครอบครัวที่คอยให้ความอบอุ่นกับลูกของเรา ตอนนี้ลูกทั้งสองคนอยู่เชียงราย ดังนั้นเราก็จะบินไปกลับทุกอาทิตย์และมี Quality Time กับเขาเสมอ

“มีลูกเมื่อพร้อม” ในนิยามของตนเอง

คำว่าพร้อมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าในมุมของเรามีลูกเมื่อพร้อมคือ ปัจจัยแรกคือการที่เรา มีวุฒิภาวะเพียงพอที่เราจะสามารถเลี้ยงดูคนคนนึงให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดีของสังคมได้ อีกประการคือการเงิน บางคนบอกว่าเท่านี้หรือประมาณนี้ก็เพียงพอ ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่สำหรับเราคือการทำอย่างไรก็ได้ให้เรามีเงินที่เพียงพอในการที่จะเลี้ยงลูก ให้อยู่ในสังคมที่ดีและอยู่ในโรงเรียนที่ดี ในส่วนของพรรคเพื่อไทยเองเราก็จะพยายามในเรื่องของนโยบาย โรงเรียนที่อยู่ต่างจังหวัด/อำเภอ มีคุณภาพเท่าเทียมกับในเมืองให้ได้

พอมีครอบครัวแล้วย่อมมีสิ่งให้เราต้องรับผิดชอบมากขึ้น ทัศนคติของเราต่อบทบาทแม่เปลี่ยนไปอย่างไร

ถามว่าเปลี่ยนไปหรือไม่ ต่างกันตรงที่ว่าเราต้องจัดสรรเวลาให้ดี คือเราจะเป็นคนที่กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อก่อนก่อนที่จะมีลูกเราจะลงพื้นที่เต็มร้อย แต่ถามว่าครั้งนี้ลงพื้นที่เต็มร้อยหรือไม่ เต็มร้อยเหมือนเดิม แต่เราต้องการเวลาที่เราพักผ่อนมอบให้กับลูกด้วย เพื่อเป็น Quality Time ของเขา เพราะเขาก็จะมีภาษาต่างดาวของเขา เราก็สนุกกับเขาไปด้วย บางวันก็เล่น TikTok  กับเขา แต่โดยหลักเลยคือเราพยายามหากิจกรรมทำร่วมกับเขา 

รู้สึกว่าตัวตนบางอย่างของเราหายไปบ้างหรือเปล่า

เราอาจจะแปลกกว่าคนอื่นตรงที่ เราก็ยังเป็นเราคนเดิมที่ไม่ได้ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ชีวิตของเราจะมีกรอบในการทำงานและการใช้ชีวิตอยู่แล้ว เราก็ไม่เคยออกนอกกรอบนี้ แล้วก็ไม่เคยก้าวล้ำกรอบที่ตัวเองวางไว้ด้วย แต่เป็นกรอบที่เรามีความสุขนะ ไม่ได้เป็นกรอบที่สวมไปแล้วเราเป็นทุกข์ แบบนั้นมันไม่ใช่


คิดว่าข้อดีข้อเสียของการเป็นผู้แทนประชาชนและเป็น Working Mom คืออะไร

เราว่าไม่มีข้อเสียเลย เราชอบที่เป็นทั้งสส.แล้วก็เป็นทั้งแม่ เพราะเราได้รับรู้ถึงปัญหา อย่างง่ายที่สุดคือในเรื่องของครอบครัวหนึ่งครอบครัวมันจะมีปัญหาเรื่องไหนบ้าง การเลี้ยงลูก การเงิน หรือการทำงาน เราก็โอเค มันก็เหมือนเราเป็นตัวทดลองว่า นี่ขนาดเรายังเหนื่อย เรายังมีปัญหา เรายังต้องเจอกับสิ่งรอบข้างที่มันรุมเร้าเข้ามา แล้วคนทั่วไปที่ไม่ใช่เรา เขาต้องหาเช้ากินค่ำ ต้องเลี้ยงลูกไปด้วย บางคนเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวบางคนเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวเราก็รับแล้วก็รู้ รู้เสร็จเราเอามาถ่ายทอดต่อ ทั้งถ่ายทอดผ่านนโยบายของพรรคด้วยและถ่ายทอดผ่านสภาผู้แทนราษฎรด้วย

ในแวดวงการเมือง Working Mom ยังต้องเผชิญกับปัญหาการถูกกดทับจากปิตาธิปไตยอยู่ไหม

ในมุมของเราคือไม่ค่อยเจอ ไม่ค่อยเจอแบบผู้ชายจะเป็นใหญ่ถึงกับเหยียบเรา เพราะตัวเราก็จะมีทางที่โดดเด่นในแบบของตัวเองอยู่แล้ว เราว่าความเป็นผู้หญิงและความเป็นสส.ของเราไม่มีใครจะมากดเราได้ เพราะเราคือตัวแทนของประชาชน โชคดีที่เรายังไม่เคยเจอแบบ ‘กลับบ้านไปเลี้ยงลูกไป’ อะไรแบบนี้ แต่ถามว่าถ้าเจอกับตัว เราก็คงบอกไปว่า ‘ไม่ไปค่ะ จะทำงาน’ แล้วก็ทำให้ได้เท่าเราละกัน อันนี้คือตัวตนของเรา เราไม่ยอม


ในมุมของคนที่ทำงานและเลี้ยงลูกไปด้วย อยากให้องค์กรหรือรัฐบาลมีสวัสดิการอะไรที่เอื้อต่อเหล่าคุณแม่บ้าง

เราเป็นสส.มา 2 สมัย เราตั้งท้องลูกสองคนในสภาแต่ไม่มีห้องปั๊มนมเลย ตอนนั้นอาคารรัฐสภา
ก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ 100% ถึงขนาดที่มีห้องให้สส.แต่ละคนได้เข้าไปนั่งทำงานนะ เรานั่งประชุมไม่งั้นก็เดินไปหลังห้องประชุมแล้วก็ปั๊มนม คือเอาผ้าคลุมมาแล้วก็ปั๊มเลย บางทีเราต้องฟังนู่นนี่นั่นไปด้วย เราก็นั่งในที่ประชุมแล้วก็ปั๊มนมไปเลย ฮาสุดคือเราหิวข้าวแล้วไปห้องอาหาร เราก็ใส่ผ้าแล้วปั๊มนมกลางห้องอาหารเลย

ถามว่าอายหรือไม่ มันต้องก้าวข้ามความอายไปเพราะมันคืออาหารของลูกเรา พอปั๊มเสร็จก็ต้องไปหาตู้แช่อีกเพื่อไปฝากไว้กับคนที่เขาไม่รังเกียจนมเราด้วย เพราะนมมันคือเลือดกับน้ำเหลืองของเรา พอประชุมเสร็จเอากลับบ้านแล้วก็เอาไปแช่ตู้ต่อ สิ่งนี้คือสิ่งที่เราประสบพบเจอในสมัยที่แล้ว นี่ขนาดสภาผู้แทนราษฎร ไม่ต้องคิดเลยถ้าเราต้องไปอำเภอ ศาลากลางจังหวัดหรือโรงพยาบาล มันไม่มีที่จัดเตรียมให้กับสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นขอให้เขาหน่อย ขอให้ความเป็นแม่ของเราหน่อย ถึงแม้ว่าคนอาจจะไม่ต้องปั๊มนมทุกวันเยอะ ๆ แต่มันก็คือสิทธิ์แล้วก็น่าจะเป็นสวัสดิการที่ดีให้กับเราได้


จากบทสัมภาษณ์นี้ผู้เขียนเห็นว่าในปัจจุบันสังคมไทยยังต้องประสบพบเจอกับปัญหาสวัสดิการที่ไม่เอื้ออำนวยต่อเหล่าคุณแม่อยู่มากมาย ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ช่วยส่งไปยังองค์กรต่าง ๆ เพื่อสิทธิและการปฏิบัติต่อ Working mom/Single mom เท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป เพราะนั้นคือ Equality อย่างแท้จริง

ภาพ: arshinayo
เรียบเรียง: arshinayo

0/แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า